So What: ภูมิปัญญาของ improvisation Jazz ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

blog 2025-01-01 0Browse 0
 So What: ภูมิปัญญาของ improvisation Jazz ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

“So What” ซึ่งเป็นเพลงในอัลบั้ม Kind of Blue ของ Miles Davis, ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์แจ๊ซ และเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของ “modal jazz,” แนวทางดนตรีที่เน้นการใช้โหมด (modes) แทนที่จะคอร์ด

ก่อนที่จะเข้าสู่โลกแห่ง “So What”, จำเป็นต้องย้อนกลับไปที่ยุค 1950s ที่ดนตรีแจ๊ซเริ่มหันมาทดลองแนวทางใหม่ ๆ จาก bebop ซึ่งเน้นความรวดเร็วและความซับซ้อนของการ improvising, “modal jazz” เริ่มกำเนิดขึ้น โดยนักดนตรีเริ่มสนใจการสร้างความสมดุลระหว่าง improvision กับเมโลดีที่เรียบง่าย

Miles Davis เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนี้ และ “So What” คือผลงานชิ้นเอกที่แสดงให้เห็นถึงปรัชญาของเขาอย่างชัดเจน

เนื้อหาเพลงและโครงสร้าง:

“So What” เป็นเพลง instrumental ที่มี tempo ช้า ๆ (slow tempo) และเป็นที่รู้จักจากเมโลดีที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

เพลงนี้เขียนขึ้นใน Key of D Dorian ซึ่งเป็นโหมดหนึ่งของ scale ของ D minor. โmodo D Dorian ให้อารมณ์ที่เศร้า (melancholy) และสงบ (peaceful), ซึ่งสอดคล้องกับบรรยากาศของเพลง

โครงสร้างของ “So What” ประกอบด้วยสองส่วนหลัก:

  • A Section: เริ่มต้นด้วย Phrases ที่ชัดเจน, ทำซ้ำกัน และเรียบง่าย
  • B Section: เปลี่ยนไปเป็นโหมด E Phrygian ซึ่งให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด

การเปลี่ยนโหมดนี้สร้างความตื่นเต้นและความแปลกใหม่ (novelty)

นักดนตรีใน “So What”:

“So What” รวบรวมนักดนตรีแจ๊ซระดับตำนาน:

นักดนตรี เครื่องดนตรี
Miles Davis ทรัมเป็ต
John Coltrane แซกโซโฟน
Cannonball Adderley แซกโซโฟน
Bill Evans เปียโน
Paul Chambers เบส
Jimmy Cobb กลอง

การรวมตัวกันของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ทำให้ “So What” เป็นผลงานที่ไม่เหมือนใคร และเป็นตัวอย่างของความสามารถในการ improvising ที่สุดยอด

อิทธิพลและความสำคัญ:

“So What” มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อวงการดนตรีแจ๊ซ และเป็นเพลงที่นักดนตรีรุ่นหลัง ๆ นำไปเล่นและดัดแปลงมาอย่างมากมาย

เพลงนี้ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี และได้กลายเป็นเพลง “signature” ของ Miles Davis

ความเชี่ยวชาญในการ Improvising:

“So What” แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของ Miles Davis ในการ improvising

เขาไม่ยึดติดกับคอร์ด tradition และใช้โหมด (modes) เป็นพื้นฐานในการสร้าง improvisation ที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจ

เพลงนี้ยังเป็นตัวอย่างของ “collective improvisation” ที่นักดนตรีทั้งหกคนร่วมกันสร้างสรรค์ improvisation ที่ไหลลื่นและสมบูรณ์แบบ

คำแนะนำในการฟัง:

เมื่อคุณฟัง “So What” ลองให้ความสนใจกับ:

  • เมโลดีที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง: เมโลดีของ “So What” ไม่ซับซ้อน แต่สามารถสร้างอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง

  • การเปลี่ยนโหมด: สังเกตการเปลี่ยนแปลงจาก D Dorian ไปเป็น E Phrygian และความรู้สึกที่แตกต่างกัน

  • ** improvisation ของนักดนตรี:** ทุกคนในวงแสดง improvising ที่ยอดเยี่ยม

“So What” เป็นเพลงแจ๊ซคลาสสิกที่ควรค่าแก่การฟังและศึกษา

TAGS